รู้จัก ป้องกัน รักษา...โรคเบาหวาน ที่ไม่หวาน

ศูนย์ : ศูนย์อายุรกรรม

บทความโดย :

โรคเบาหวาน

โรคเบาหวาน คือ ภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงกว่าปกติ เนื่องจากการขาดฮอร์โมนอินซูลินหรือมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน (ข้าว,แป้ง) โปรตีนและไขมัน ก่อให้เกิดพยาธิสภาพต่อหลอดเลือด ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สุขภาพ ความยืนยาวของอายุ และคุณภาพชีวิต


ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวาน

  1. อายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป
  2. มีน้ำหนักตัวมากกว่าปกติ หรือภาวะอ้วน
  3. มีญาติสายตรง อาทิ บิดา มารดา พี่น้องสายเลือดเดียวกันเป็นเบาหวาน
  4. มีความดันโลหิต 140/90 หรือมากกว่า
  5. ระดับไขมันในเลือดผิดปกติ เช่น เอช ดี แอล (ไขมันดี) มีค่า 38 มก.% หรือต่ำกว่า ไตรกลีเซอไรด์มีค่า 250 มก.% หรือสูงกว่า
  6. ผู้ที่ไม่มีกิจกรรมสุขภาพ หรือออกกำลังกายน้อยกว่า 3 ครั้ง/สัปดาห์
  7. มีภาวะถุงน้ำที่รังไข่

> กลับสารบัญ


อาการของโรคเบาหวาน

  • ปัสสาวะบ่อยและมาก หรืออาจเกิดมดขึ้นปัสสาวะ
  • กระหายน้ำ และดื่มน้ำบ่อยครั้ง
  • กินจุ หิวบ่อย แต่น้ำหนักลด
  • อ่อนเพลีย ไม่มีแรง อาจซึมลง หรือไม่รู้สึกตัว
  • ตาพร่ามัว
  • เป็นแผลหรือฝีง่ายรักษาหายยาก มีผื่นคันตามผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ เนื่องมาจากเชื้อรา
  • ปลายมือ ปลายเท้าชา
  • สมรรถภาพทางเพศบกพร่อง โดยเฉพาะในเพศชาย
  • อาจไม่มีอาการใดๆ เกิดขึ้น โดยเฉพาะในรายที่เริ่มมีอาการไม่นาน มักพบบ่อยได้โดยบังเอิญจากการตรวจร่างกายประจำปี เพราะฉะนั้นคนทั่วไปเมื่ออายุเกิน 40 ปี จึงควรตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อการค้นพบโรคต่างๆ ล่วงหน้า และเตรียมพร้อมในการรักษา
  • ผู้ป่วยบางรายอาจมาด้วยอาการของโรคแทรกซ้อน เช่น โรคตา โรคหัวใจขาดเลือด อัมพฤกษ์ เป็นต้น

> กลับสารบัญ


การวินิจฉัยอาการของโรคเบาหวาน

โดยใช้วิธีการตรวจ ระดับน้ำตาลในเลือด (FBS) เพื่อวิเคราะห์สาเหตุ

  1. กรณีเกิดอาการชัดเจน เช่น ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย ดื่มน้ำมาก อ่อนเพลีย สามารถตรวจระดับน้ำตาลในเลือดได้ทันทีโดยไม่ต้องงดอาหาร ถ้าได้ ผลมากกว่าหรือเท่ากับ 200 มก./ดล. วินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน
  2. กรณีไม่มีอาการ ให้งดอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิดหลังเที่ยงคืน (แต่จิบน้ำได้) 8-12 ชม. ก่อนมาตรวจระดับน้ำตาลในเลือดของวันรุ่งขึ้น หากได้ผลมากกว่าหรือเท่ากับ 200 มก/ดล สามารถวินิจฉัยได้ว่าเป็นโรคเบาหวาน
  3. ตรวจโดยการดื่มน้ำตาลกลูโคส 75 กรัม แล้วเจาะเลือดหลังดื่ม 2 ชั่วโมง ถ้าได้ผลมากกว่าหรือเท่ากับ 200 มก/ดล สามารถวินิจฉัยได้ว่าเป็น โรคเบาหวาน

หมายเหตุ : ค่าปกติของระดับน้ำตาลในเลือด ปัจจุบันกำหนดไว้ดังนี้ เจาะก่อนอาหารเช้า ไม่เกิน 100 มก/ ดล หรือเจาะเลือดใน 2 ชั่วโมงหลังจากรับประทานน้ำตาลกลูโคส 75 กรัม ไม่เกิน 140 มก/ดล

> กลับสารบัญ



โรคแทรกซ้อนของเบาหวาน แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม

1. โรคแทรกซ้อนชนิดเฉียบพลัน ได้แก่

  • ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ มักจะพบในรายที่รับยามากเกินไปหรือรับยาเท่าเดิม แต่ไม่ได้รับประทานอาหารตามปกติ เช่น ขณะเป็นไข้ ท้องเสีย
  • ภาวะระดับน้ำตาลในเลือดสูง จนมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เช่น ความไม่รู้สึกตัว ซึ่งมีทั้งชนิดที่มีกรดคีโตนคั่งค้างในกระแสโลหิตหรือไม่มีกรดคีโตนคั่งอยู่ก็ตาม
  • ภาวะการติดเชื้อ

2. โรคแทรกซ้อนชนิดเรื้อรัง แบ่งเป็น

  1. โรคแทรกซ้อนต่อหลอดเลือดขนาดเล็ก ได้แก่
    • โรคแทรกซ้อนทางตา ทำให้มีการทำลายของหลอดเลือดในจอภาพ เกิดอาการตามัวจนถึงตาบอด ได้อย่าง กะทันหัน
    • โรคแทรกซ้อนทางไต ทำให้มีการรั่วของไข่ขาวในปัสสาวะส่งผลต่อไตเสื่อมลง จนถึงขั้นไตวายและเสียชีวิตได้ โรคแทรกซ้อนทางระบบประสาท ทำให้มีการเสื่อมทั้งระบบประสาททั่วไป และระบบประสาทอัตโนมัติก่อให้เกิดอาการต่างๆ มากมาย เช่น ชาตามปลายมือ ปลายเท้า หรือปวดแสบปวดร้อน กล้ามเนื้อขาลีบ กล้ามเนื้ออ่อนแรง กระเพาะปัสสาวะคราก สมรรถภาพทางเพศบกพร่อง สุขภาพเท้าบกพร่อง จนนำไปสู่การตัดอวัยวะส่วนนั้นๆ และพิการในที่สุด
  2. โรคแทรกซ้อนต่อหลอดเลือดขนาดใหญ่ ได้แก่
    • หลอดเลือดสมองตีบตันหรือแตก ทำให้เกิดอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิตได้
    • หลอดเลือดหัวใจตีบตันเกิดอาการหัวใจขาดเลือด หรือกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน เช่น เจ็บแน่นหน้าอกกะทันหัน หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ และทวีความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
    • หลอดเลือดขาตีบตัน เกิดอาการปวดขาเวลาเดิน เพราะเลือดไปเลี้ยงขาไม่เพียงพอ ซึ่งเมื่อร่วมกับโรคแทรกซ้อนทางระบบประสาท จะทำให้เท้าเป็นแผลง่าย หายยาก เป็นบ่อเกิดของการอักเสบติดเชื้อที่รุนแรง และมีเนื้อตายจนเป็นเหตุให้ต้องถูกตัดขา หรือสูญเสียอวัยวะ

> กลับสารบัญ


หลักการรักษาโรคเบาหวาน

  • มีความรู้เรื่องโรคเบาหวาน
  • การควบคุมอาหาร
  • ยาและอินซูลิน
  • การออกกำลังกาย

ซึ่งทั้ง 4 หลักนี้ ทางโรงพยาบาลนครธน มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญ พร้อมให้ความรู้แก่ผู้ป่วยเบาหวาน และญาติผู้ดูแลใกล้ชิดอย่างต่อเนื่อง

> กลับสารบัญ


การให้ความรู้

ชี้แจงให้ผู้ป่วยทราบและเข้าใจธรรมชาติของโรคนี้ รวมถึงโรคแทรกซ้อนต่างๆ พร้อมทั้งวิธีป้องกัน เป้าหมายของการรักษา การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย การดูแลเท้า ความรู้เรื่องยา การดูแลตนเอง และการปฏิบัติตัวในโอกาสพิเศษต่างๆ เช่น การเดินทางไกล การเจ็บป่วยกะทันหัน

> กลับสารบัญ


ปรึกษาแพทย์ออนไลน์

การควบคุมอาหาร

มีหลักว่าไม่ให้อดอาหาร แต่เป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคให้ถูกต้องและต่อเนื่อง เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน ผู้ป่วยเบาหวานจะรู้จักแลกเปลี่ยนอาหารและนำไปปฏิบัติได้ สามารถเลือกกินอาหารได้หลากหลายชนิด กินอาหารให้ครบทุกหมวดหมู่ สิ่งที่ต้องระวังคือ บริโภคให้พอเหมาะหรือไม่กินมากเกินไป

ผู้ป่วยเบาหวานจะต้องมีความรู้ว่าตนเองสามารถรับประทานอาหารแต่ละหมวดได้กี่ส่วน โดยจะกำหนดจากปริมาณพลังงานที่ร่างกายสมควร ได้รับในแต่ละวันซึ่งคำนวณได้จากน้ำหนักตัวที่เหมาะสมร่วมกับกิจกรรมประจำวัน ตัวอย่าง เช่น ถ้ารับประทานอาหารได้วันละ 1,500 กิโลแคลอรี่ สามารถจะแบ่งได้เป็น นม 1 ส่วน ผลไม้ 6 ส่วน ผัก 3 ส่วน ข้าว 8 ส่วน เน้อสัตว์ 6 ส่วน ไขมัน 6 ส่วน เป็นต้น

ปัจจุบันมีการคำนวณสัดส่วนของอาหารแต่ละหมวดไว้อย่างมากมาย ซึ่งสามารถที่จะขอข้อมูลได้จากทีมให้ความรู้เบาหวานและเอกสารเฉพาะ เรื่องอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวานจากโรงพยาบาล

> กลับสารบัญ


ยาและอินซูลิน

โดยยารักษาเบาหวานชนิดรับประทาน มีกลไกการออกฤทธิ์ 3 ประเภท

  1. กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน
  2. เสริมฤทธิ์อินซูลินที่ตับ กล้ามเนื้อ เซลล์ไขมัน
  3. ลดอาการดูดซึมกลูโคสจากทางเดินอาหาร

อินซูลินเป็นยาแดซึ่งมีหลากหลายชนิด แล้วแต่ระยะเวลาของการออกฤทธิ์ การพิจารณาว่าผู้ป่วยสมควรได้รับยาประเภทใด ควรเป็นดุลยพินิจของแพทย์ แต่ผู้ป่วยควรต้องมีความรู้ว่ายามีฤทธิ์ข้างเคียงอย่างไร รับประทานอย่างไร เมื่อใดควรหยุดยา

> กลับสารบัญ


การออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

มีข้อแนะนำและข้อควรระวัง ดังนี้

  1. ควรได้รับการตรวจสภาพความสมบูรณ์ของร่างกายก่อนเริ่มออกกำลังกาย เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
  2. ควรออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 20-30 นาที แต่ไม่ควรเกิน 1 ชั่วโมง ความถี่ในการออกกำลังกายควรเป็น 3-5 วันต่อสัปดาห์ โดยเริ่มต้นควรทำวันเว้นวัน หรือ 2-3 วันต่อสัปดาห์ก่อน
  3. ควรเลือกออกกำลังกายด้วยกิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายที่ชอบ เช่น เดินเร็วๆ วิ่งเหยาะๆ ถีบจักรยานอยู่กับที่ ว่ายน้ำหรือเดินในน้ำ รำมวยจีน เต้นแอโรบิก หรือทำกายบริหารด้วยท่าต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เป็นต้น นอกจากนี้ควรมีการบริหารเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและการยืดกล้ามเนื้อ เพื่อคงความยืดหยุ่นของร่างกายร่วมด้วย ในกรณีไม่มีปัญหากับโรคแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน
  4. ตรวจสำรวจเท้าก่อนและหลังการออกกำลังกาย เพื่อดูว่ามีรอยถลอก รอยแดง รอยช้ำบวม มีแผลหรือไม่
  5. ใส่รองเท้าที่สบายหลวมพอดี พื้นรองเท้านิ่ม
  6. อย่าออกกำลังกายภาย 1 ชั่วโมง ก่อนถึงเวลาอาหาร
  7. หยุดการออกกำลังกายทันทีที่มีอาการตื่นเต้น กระสับกระส่าย มือสั่น ใจสั่น เหงื่อออกผิดปกติ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ตาพร่า หิว เจ็บ แน่นหน้าอก หายใจหอบมากผิดปกติ

> กลับสารบัญ


การประเมินผลการรักษา

ถ้าต้องการผลสูงสุดในการรักษา ควรจะมีดัชนีชี้วัดผลการรักษาดังนี้

  • ระดับน้ำตาลก่อนอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง 90-130 มก/ดล
  • ระดับน้ำตาลหลังอาหารมื้อใดมื้อหนึ่งต่ำกว่า 180 มก/ดล
  • ค่าเฉลี่ยน้ำตาลสะสม (Hbaic) น้อยกว่าหรือเท่ากับ 7%
  • ความดันโลหิตต่ำกว่า 130/80 มม.ปรอท (กรณีมีโรคไตแล้วควรต่ำกว่า 125/75 มม.ปรอท)
  • ระดับไขมันร้าย (LDL) ต่ำกว่า 100 มก/ดล
  • ระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ (TG) ต่กว่า 150 มก/ดล
  • ระดับไขมันดี (HDL) สูงกว่า 40 มก/ดล

ซึ่งถ้ารักษาแล้วทำได้ตามเป้าหมายดังกล่าว อาจจะมีโรคแทรกซ้อนน้อยที่สุด

> กลับสารบัญ


ปัจจุบัน มีการศึกษาที่พิสูจน์ได้แล้วว่าโรคเบาหวานสามารถป้องกันได้กล่าวคือ ถ้ามีการควบคุมอาหารที่ถูกต้องร่วมกับการออกกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะสามารถป้องกันโรคเบาหวานได้เกือบ 60% เรานำวิธีดังกล่าวนี้มาใช้กับบุคคลกลุ่มเสี่ยง เช่น โรคอ้วน เคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน มีภาวะดื้อต่ออินซูลินตลอดจนผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ (100125 มก/ดล) ซึ่งมักจะวัดได้จากการตรวจเช็คสุขภาพ


ปรึกษาทุกปัญหาสุขภาพแบบออนไลน์
ไม่เสียค่าใช้จ่าย





Share :

สินค้าในตระกร้าไม่ถูกต้องตามเงื่อนไข, กรุณาตรวจสอบจำนวน
จัดการตระกร้าสินค้า

เมื่อคลิก “อนุญาตคุกกี้ทั้งหมด” หมายความว่าผู้ใช้งานยอมรับที่จะเปิดการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ เพื่อให้เว็บไซต์สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องและเต็มประสิทธิภาพ เพื่อเปิดใช้คุณสมบัติของโซเชียลมีเดีย และเพื่อวิเคราะห์การเข้าใช้งานเพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการทำการตลาดและการโฆษณา รวมถึงการแบ่งปันข้อมูลการใช้งานกับพาร์ทเนอร์โซเชียลมีเดีย